จะว่าไปแล้วที่เมืองกาญจน์เรียกได้ว่า เป็นจังหวัดที่เป็นสถานที่สู้รบ เป็นจังหวัดที่มีความหลังยาวนานกับประวัตศาสตร์ชาติไทย ที่แต่ละจุดแต่ละพื้นที่เป็นที่ย้ำเตือนให้คนรุ่นหลังต้องเคารพและขอบคุณในคนรุ่นก่อนที่ช่วยรักษาผืนแผ่นดินของเราไว้ด้วยชีวิต และแล้วทริปประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ได้ไปช่องเขาขาดกันมาแล้ว เพรานี่ก็นานแล้วที่เรารู้สึกติดอยู่ในใจกันว่า อยากไปจังหวัดกาญจนบุรีอีก เพื่อค้นหาประวัติศาสตร์อันแสนทารุณ อันเป็นการตอกย้ำตัวเองให้รักชาติมากยิ่งขึ้น
และแล้วเราก็ใช้เส้นอันคุ้นเคยที่เพิ่งมากเมื่อ 2 3 เดือนก่อนนี้เอง เส้นทางสู่เขื่อนศรีนครินทร์ แต่เราไปกันไม่ถึงเพราะเราแวะระหว่างทางกันก่อน พิพิธภัณฑ์สงครามเก้าทัพ คือ เป้าหมายที่เราต้องพุ่งชน ระหว่างทางที่ขับรถมาเรารู้สึกว่า นี่หลงทางรึเปล่าเนี๊ยะเพราะข้างทางเป็นป่าที่เรียกได้ว่า ค่อนข้างแห้ง เหมือนเข้าป่ามาเรื่อยๆ แต่ในที่สุด เราก็ได้เจอทางแยก ทางด้านขวาของเราเป็น อนุสาวรีย์ ด้านขวาเป็น เสาธง สี่เสา มันใช่เลย ถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์สงครามเก้าทัพ
ที่นี้ก็เริ่มลงรถกันตั้งแต่ตรงนี้เลย ซ้ายก่อน เราลงไปสักการะอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาท ซึ่งชื่อนี้คุ้นๆก็เป็นชื่อค่ายสุรสีห์ตรงทางไปเขาชนไก่นั่นเอง ท่านเป็นผู้นำทัพที่ลาดหญ้าที่เมืองกาญจน์นี้เองเพื่อสกัดกั้นทัพพม่าที่เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ตรงหน้าอนุสาวรีย์ก็เป็นลาดปูนกว้าง ด้วยท้องฟ้าเป็นใจก็ถ่ายภาพท่ามกลางแสงแดดร้อนๆซะหน่อยเพราแดดยิ่งร้อนภาพยิ่งสวย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของถนน ก็มีรูปปูนปั้นทหารสมัยเยอะเหมือนกัน ถ้ามาตอนกลางคืน รับรอง หลอนแน่
จากนั้นก็ขับรถข้ามถนนมาทางซ้ายมือตรงที่มีธง 4 เสา ความหมายก็คือ พม่ายกทัพมาตีเราเก้าทัพ แต่ก็ต้องพ่ายให้กับไทยซึ่งมีแค่ 4 ทัพ เราแสดงทัพทั้งสี่ด้วยธงสี่เสาถ่ายภาพเป็นที่ระทึกกันซะหน่อยแล้วก็จากไป ขับเข้าไปอีกอึดใจก็จะเจออาคารแสดงนิทรรศการ โดยมีนายทหารตัวจริงแต่งตัวเหมือนทหารสมัยก่อน คอยเราประวัติศาสตร์พร้อมแผนที่จำลองให้เราฟังถึงศึกสงครามเก้าทัพนี้ ด้วยเรื่องราวแล้วเป็นที่ตื่นเต้นมาก ขอบอกว่าเคยได้ยินชื่อสงครามนี้แต่ไม่เคยได้รู้ลึกซึ้งถึงประวัติศาสตร์นี้เลย ประทับใจเหล่าทหารและชื่นชมในพระปรีชาของกษัตริย์ไทยเรามาก และตรงกันข้ามกันอาคารนิทรรศการก็จะเป็นหอสังเกตุการณ์ซึ่งเนินแห่งนี้เรียกว่า เนินเขาลาดกระทิง เอาไว้สังเกตุการณ์ทัพพม่าที่บุกมาตีเมืองเราซึ่งข้างบนก็จะมีกลองที่เขียนประวัติอยู่ด้วย
แหม มาครั้งนี้แล้วรู้สึกฮึกเหิมใจยิ่งนัก นี่เป็นงัย ใช้ศัพท์สมัยร.1 เลย เป็นคนไทยต้องรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ได้มากที่สุด รู้ไม่พอต้องมาสัมผัสบรรยากาศจริงด้วยถึงจะเรียกได้ว่า ลึกซึ้งจริง
เรียบเรียงข้อมูลโดย : paipaitour
ที่มาภาพ :
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น