ประเทศไทยมีทั้งหมด 77 จังหวัด ซึ่งในช่วงปี 2-3 ปีก่อน มีเพียง 76 จังหวัด มีจังหวัดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ นั่นคือ จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งแยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคาย และทุกๆจังหวัดจะมีเอกลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป หากพูดถึงจังหวัดหนึ่งก็จะนึกถึงชื่อ ฉายา ประเพณี วัฒนธรรม ของจังหวัดนั้นๆ เช่น จังหวัดสุรินทร์ คุณก็นึกถึงช้าง ประเพณีต่างๆที่เกี่ยวกับช้างที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง จังหวัดลำปางก็คิดถึงรถม้า นอกจากประเพณี วัฒนธรรม แล้วที่ทุกจังหวัดมีก็คือ ศาลหลักเมือง ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พึงทางใจ ไหว้สักการบูชา ถือยึดเอาไว้เป็นหลัก ในเมื่อทุกจังหวัดมีเหมือนๆกันแต่สิ่งที่แตกต่างกันออกก็คือ ความงามของศิลปะการก่อสร้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักทุกซอกทุกมุมกับศาลหลักเมืองจังหวัดสุรินทร์เมืองช้าง มาดูกันเลย
ศาลหลักเมืองสุรินทร์หรือศาลหลักเมืองจังหวัดอื่นๆ ก็เหมือนกับการลงเสาร์เอกในการสร้างบ้าน เพื่อให้บ้านเมืองนั้นมีหลักให้ยึดเหนี่ยวไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ความศักดิ์สิทธิ์ ศรัทธา นั้นไม่ต้องพูดถึงเลยมีมากมายอย่างแน่นอน ความศรัทธานั้นไม่ได้มีแค่คนจังหวัดสุรินทร์เท่านั้น ยังมีแขกบ้านแขกเมืองที่ได้มีโอกาสเดินทางผ่านมาจังหวัดสุรินทร์อีกด้วย แวะมาขอพรสำหรับการเดินทาง แวะมาขอพรให้ปกปักรักษาดูแลในขณะที่ตนเองทำงานอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ เรามาดูลักษณะโดยเราของศาลหลักเมืองกัน
ภาพรวมด้านนอก ที่เด่นชัดเลยก็คือสีของศาลหลักเมืองที่เป็นสีแดงเด่นเป็นสง่า รอบจะเป็นลานกว้างปูพื้นด้วยกระเบื้องสีขาว จะมีป้ายเขียนว่า “ศาลหลักเมือง สุรินทร์” ตัวหนังสือสีเหลืองพื้นสีดำเงาด้านข้างจะเป็นเสาสีแดงที่เข้มกว่าสีของอิฐทั่วๆไป ป้ายไม่ได้ตั้งสูงเหมือนป้ายอื่นๆจะติดกับพื้นกระเบื้องเลย ถัดไปด้านซ้ายมือจะมีกำแพงสีแดงที่มีระดับความสูงเท่ากับป้ายศาลหลักเมืองสูงประมาณ 50 เมตร ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเห็นศาลหลักเมืองได้อย่างชัดเจน ลักษณะของสถาปัตยกรรมของเขมรอย่างเห็นได้ชัด ตรงศาลภายนอกจะถูกออกแบบตามการออกแบบของสถาปัตยกรรมเขมร ที่จะมีหน้าจั่วเป็นรูปใบโพธิ์เรียงต่อกันเหมือนขั้นบันใดขึ้นไป หลังคาของศาลหลักเมืองก็เช่นกัน สีโดยรวมจะเป็นสีแดงอิฐ จึงทำให้ศาลหลักเมืองสุรินทร์มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก แต่เดิมนั้นเมืองสุรินทร์มีแต่ศาล ต่อมาในปี 2511 ได้ให้กรมศิลปากรออกแบบโดยใช้ไม้ชัยพฤกษ์ ความสูงประมาณ 3 เมตร และถูกแกะสลักด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร ในปี 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้ประกอบพิธีเจิมเสาหลักเมืองเพื่อเป็นศิริมงคล และอีก 2 ปีต่อมาปี 2517 ได้ประกอบพิธียกเสาหลักเมืองพร้อมกับพิธีฉลองสมโภช
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น